Feeds RSS

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

ราชวงศ์จีน

ราชวงศ์เซี่ย

        
           เป็นราชวงศ์แรกของจีน มีอายุอยู่ได้ราว 500 ปี ในอดีตนักวิชาการและบุคคลโดยทั่วไปเชื่อว่าเรื่องราวของราชวงศ์เซี่ยเป็นเพียงเรื่องแต่งหรือปรัมปราที่เล่าสืบต่อกันมา แต่ปัจจุบันมีการขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เชื่อถือได้



           ในปี ค.ศ. 1959 ได้เริ่มมีการค้นหาแหล่งที่มาของวัฒนธรรมเซี่ย โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เริ่มดำเนินการขุดค้นและตรวจสอบทางโบราณคดีรูปแบบต่างๆ ในพื้นที่แถบตะวันตกของเหอหนานและทิศใต้ของ
มณฑลซานซี เพื่อลดขอบเขตพื้นที่เป้าหมายในการค้นหาให้แคบเข้า ปัจจุบัน มีนักวิชาการจำนวนมากเห็นว่า วัฒนธรรมเอ้อหลี่โถว (二里头文化) จากหลุมขุดค้นเหยี่ยนซือเอ้อหลี่โถวและวัฒนธรรมหลงซาน (龙山文化) ในเขตตะวันตกของมณฑลเหอหนานนั้น น่าจะเป็นวัฒนธรรมในสมัยเซี่ย แต่เนื่องจากยังขาดหลักฐานทางตรงและหลักฐานที่เป็นตัวอักษร ดังนั้นปัจจุบันนี้ จึงยังคงไม่อาจระบุชัดว่าสิ่งที่ขุดค้นได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเซี่ยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่พบในวัฒนธรรมหลงซานและวัฒนธรรมเอ้อหลี่โถว ก็ทำให้มีข้อมูลมากพอที่จะช่วยเสริมความรู้ที่ขาดหายไปในช่วงเวลานี้เป็นอย่างดี


           การก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยซึ่งมีรากฐานของอำนาจจากการยึดครองทรัพย์สินเป็นของส่วนตัว เป็นสัญญาณว่าสังคมยุคดึกดำบรรพ์ที่ทรัพย์สินเป็นของสาธารณะอันยาวนาน กำลังถูกแทนที่ด้วยสังคมแบบยึดครองทรัพย์สินส่วนตัว และนี่ก็เป็นวิวัฒนาการในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาหนึ่ง ทว่า โดยปกติการก่อเกิดของระบบใหม่ มักต้องเผชิญกับแรงต้านจากฝ่ายอนุรักษ์ เมื่อเซี่ยฉี่ (夏启) บุตรของเซี่ยหวี่เข้ารับสืบทอดตำแหน่งของบิดา (禹) ก็ได้เชิญบรรดาหัวหน้าชนเผ่าจากดินแดนต่างๆ มาร่วมในงานเลี้ยง เพื่อรับรองการขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ของตน

 

           กลุ่มฮู่ซื่อ (扈氏) ไม่พอใจเซี่ยฉี่ ที่ยกเลิกระบบการคัดสรรผู้มีความสามารถเพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำที่มีอยู่เดิม จึงไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงนั้น เซี่ยฉี่จึงยกกองทัพออกไปปราบฮู่ซื่อ โดยทำศึกกันที่กาน (甘) ฮู่ซื่อพ่ายแพ้ถูกลบชื่อออกไป ชัยชนะจากการรบครั้งนี้ ทำให้ก้าวแรกของระบบอำนาจใหม่นี้แข็งแรงขึ้น



           ระบบการปกครองแบบใหม่นี้ค่อยๆ พัฒนาขึ้น ขณะที่ผู้ปกครองคนใหม่ ต้องเผชิญปัญหาการขาดประสบการณ์ในการปกครอง รากฐานของอำนาจที่มาจากการยึดครองทรัพย์สินเป็นของส่วนตัว ในช่วงระยะของการฟูมฟักของการก้าวขึ้นสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ สภาพการขูดรีด แย่งชิง และความกระหายในการเสพสุขของผู้ปกครองก็ยังเป็นไปอย่างรุนแรง และย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการแย่งชิงผลประโยชน์และอำนาจในกลุ่มผู้ปกครองด้วยกันเองได้


           ดังนั้น เมื่อเซี่ยฉี่ตายลง บุตรชายของเขาทั้งห้าคนก็แย่งชิงอำนาจกัน ผลคือเมื่อไท่คัง (太康) ได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากฉี่ (ครองราชย์ 29 ปี) ก็ไม่สนใจดูแลกิจการงานเมือง เฝ้าหมกมุ่นอยู่กับสุรานารี ต่อมาจึงถูกอี้ (羿) ซึ่งเป็นผู้นำของรัฐฉง (穷氏) สบโอกาสเข้าแย่งชิงอำนาจ ภายหลังเมื่ออี้ถูกขุนนางของเขาที่ชื่อหานจั๋ว (寒浞) สังหารแล้ว เส้าคัง (少康) (ครองราชย์ 21 ปี) บุตรชายของไท่คังซึ่งหลบหนีไปรัฐโหย่วหวี (有虞氏) ได้รับความช่วยเหลือจากโหย่วหวี รวบรวมขุมกำลังเก่าของเซี่ยขึ้นใหม่ แล้วอาศัยช่วงเวลาที่ภายในของกลุ่มหานจั๋วเกิดความวุ่นวาย เข้าช่วงชิงอำนาจเพื่อกอบกู้ราชวงศ์เซี่ยกลับคืนมา







ราชวงศ์ชิง


           ราชวงศ์ชิงเริ่มตั้งแต่ปีค.ศ.1644 และสิ้นสุดลงในปี 1911 ตั้งแต่จักรพรรดินูรฮาจีชื่อจนถึงจักรพรรดิผู่อี๋ มีจักรพรรดิทั้งหมด 12 พระองค์ ปกครองแผ่นดินจีนนานถึง 268 ปี ดินแดนของจีนในสมัยนั้นในช่วงที่กว้างใหญ่ที่สุดมีมากกว่า 12 ล้าน ตารางกิโลเมตร เมื่อค.ศ.1616 นูรฮาจี หัวหน้าชนเผ่าแมนจูได้สร้าง”จินยุคหลัง” จนถึงปี 1636 หวงไท่จี๋ โอรสนูรฮาจีชื่อเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็น”ชิง” ปี 1644 หลี่จื้อเฉิง แม่ทัพชาวนาได้ยกทัพเข้าตีกรุงปักกิ่ง และโค่นการปกครองของราชวงศ์หมิงลง จักรพรรดิฉงเจิน กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงผูกพระศอสิ้นพระชนม์ที่เชิงเขาจิ่งซัน ซึ่งอยู่ติดกับพระราชวังโบราณ ทหารราชวงศ์ชิงได้ฉวยโอกาสเข้าโจมตีทหารชาวนา และประสบชัยชนะในที่สุด จากนั้นจึงย้ายเมืองหลวงจากภาคอีสานของจีนมาอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ต่อมา ราชสำนักชิงค่อยๆปราบปรามกบฏชาวนาในท้องที่ต่างๆของจีน และอิทธิพลหลงเหลือของราชวงศ์หมิงที่คิดจะฟื้นฟูหมิงทางภาคใต้ของจีน จนกระทั่งได้ปกครองทั่วทั้งประเทศจีนในที่สุด เพื่อให้ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นต่างๆผ่อนคลายลง ในระยะต้นๆ ราชสำนักชิงได้ดำเนินนโยบายส่งเสริมการทำไร่ไถนา ขยายพื้นที่เพาะปลูก และลดหรือยกเลิกภาษีอากรของชาวไร่ชาวนาตามสมควร ทำให้สังคมจีนในสมัยนั้นพัฒนาก้าวหน้า กลางศตวรรษที่ 18 เศรษฐกิจสังคมศักดินายุคชิงได้พัฒนามากสู่ระดับสูงสุด ได้รับสมญาว่าเป็น”สมัยที่เจริญรุ่งเรืองคังยงเฉียน” ระบบการปกครองแบบรวมอำนาจที่ศูนย์กลางมีความสมบูรณ์และทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ประเทศจีนมีความเข้มแข็งเกรียงไกร สังคมสงบเรียบร้อย ถึงปลายศตวรรษที่ 18 ประชากรจีนมีจำนวนถึง 3 ร้อยล้านคน ในปี 1661 แม่ทัพเจิ้งเฉิงกงได้นำกองเรือรบข้ามช่องแคบไต้หวันไปสู่เกาะไต้หวัน พิชิตอาณานิคมชาวเนเธอร์แลนด์ที่ยึดครองไต้หวันนาน 38 ปี ในต้นปี 1662 ทหารเนเธอร์แลนด์ยอมจำนนต่อราชวงศ์ชิง ไต้หวันได้กลับคืนสู่อ้อมมาตุภูมิ ปลายศตวรรษที่ 16 รัสเซียในสมัยพระเจ้าซาร์แผ่ขยายอาณาจักรมาทางตะวันออก ในช่วงที่ทหารแมนจูบุกลงใต้ ประเทศจีนเกิดความปั่นป่วน รัสเซียได้ฉวยโอกาสยึดครองเขตยาคึซา เขตหนีปู้ฉู่และเขตพรมแดนอื่นๆของจีน ราชสำนักชิงได้ประท้วงและเรียกร้องให้ทหารรุกรานชาวรัสเซียถอนตัวออกจากดินแดนของจีน ในค.ศ.1685 ถึง 1686 จักรพรรดิคังซีได้ยกทัพไปโจมตีทหารรัสเซียที่ประจำเขตยาคึซา บังคับให้รัสเซียยอมเข้าร่วมการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาปักปันเขตแดนภาคตะวันออกของจีน ปี 1689 ผู้แทนจีนและรัสเซียได้จัดการเจรจาที่เขตหนีปู้ฉู่ ลงนาม”สนธิสัญญาหนีปู้ฉู่”อันเป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการปักปันเขตแดนฉบับแรกของจีนกับรัสเซียกลางรัชกาลจักรพรรดิ์เฉียนหลง ราชสำนักชิงใช้กำลังทหารปราบปรามอิทธิพลแบ่งแยกประเทศของเผ่าจุ่นเก๊อะเอ่อและกบฎของต้า-เสี่ยวเหอจั๊วะของเผ่าหุย ทำให้เขตซินเกียงสงบเรียบร้อยลง ดำเนินนโยบายและใช้มาตรการต่างๆ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการคมนาคมของเขตชายแดนของจีน สมัยราชวงศ์ชิง จีนได้ประสบผลสำเร็จอันใหญ่หลวงในด้านวัฒนธรรม ปรากฏนักคิดยอดเยี่ยมหลายคน เช่นหวางฟูจือ หวงจงซี กู้เอี๋ยนอู่ ตลอดจนไต้เจิ้นเป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็มีนักเขียนและศิลปิน มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์จีน อาทิเช่นนายเฉาเสวี่ยฉิน ผู้ประพันธ์”ความฝันในหอแดง” อู๋จิ้งจือ ข่งซ่างเหยิน ในด้านการวิจัยประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ชิงก็มีผลงานสะสมจำนวนมาก มีนักศึกษาค้นคว้าฝ่ายต่างๆเกิดขึ้นไมาขาดสาย ได้ปรากฏ หนังสือ”สื้อคู่ฉวนซู” “กู่จินถูซูจิ๊เฉิง”อันเป็นหนังสือสรรนิพนธ์รวมชุดขนาดใหญ่ จีนสมัยราชวงศ์ชิงยังได้ประสบผลสำเร็จในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำนวนมาก โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง สำหรับเศรษฐกิจในสมัยนั้น จีนสมัยราชวงศ์ชิงยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรม ในด้านวัฒนธรรมและความคิด ราชวงศ์ชิงยังคงส่งเสริมหลักการและคำสอนต่างๆของสังคมศักดินาที่สืบทอดกันมา เพื่อพิทักษ์การปกครองของจักรพรรดิ ราชวงศ์ชิงได้จำคุกบุคคลส่วนหนึ่งในสังคมเพราะเขียนบทประพันธ์ที่เสียดสีหรือแสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อต้านราชวงศ์ชิง ความสัมพันธ์ด้านต่างประเทศนั้นปิดประเทศมาช้านาน จึงหลงภูมิใจในตน. หลังช่วงกลางราชวงศ์ชิง ความขัดแย้งทางสังคมต่างๆนับวันรุนแรงยิ่งขึ้นและปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น เกิดการกบฎต่อต้านราชวงศ์ชิงไม่ขาดสาย การเกิดกบฎลัทธิไป๋เหลียนเจี้ยวทำให้ความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ชิงสิ้นสุดลง



           สงครามฝิ่นที่เกิดขึ้นในค.ศ.1840 และการรุกรานของจักวรรดินิยมต่างประเทศบีบ บังคับให้ราชสำนักชิงต้องลงนามสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมต่างๆกับจักรวรรดินิยมต่างชาติที่รุกรานจีน ปักปันดินแดนและจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ให้กับผู้รุกราน เปิดเมืองท่าให้ชาวต่างชาติ ทำให้สังคมจีนค่อยๆกลายเป็นสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา ปลายราชวงศ์ชิง การเมืองทุจริตเน่าเฟะ กระแสความคิดสังคมไม่ได้พัฒนา ประชาชนจีนที่ติดยาฝิ่นร่างกายอ่อนแอขาดความมั่นใจในตนเอง สังคมศักดินาจีนค่อยๆเข้าสู่ระยะเสื่อมโทรม ประชาชนจีนมีความเดือดร้อนทุกข์ยาก จึงก่อการเคลื่อนไหวต่อต้านจักรวรรดินิยมและศักดินานิยมต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหวไท่ผิงเทียนกั๋ว ซึ่งเป็นกบฎชาวนา มีอิทธิพลใหญ่หลวง โจมตีการปกครองของราชวงศ์ชิงอย่างรุนแรง เพื่อช่วยประเทศชาติและกอบกู้ชะตากรรมของตน ภายในชนชั้นปกครองราชวงศ์ชิงได้ดำเนินการปฏิรูปบ้าง เช่น การเคลื่อนไหวหยังอู้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ราชสำนักชิงส่งนักศึกษาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศและศึกษาประสบการณ์จากประเทศฝรั่งที่ทันสมัยแล้ว และปฏิรูประบอบการเมืองอู้ซวีซึ่งมุ่งปฏิรูประบอบการปกครองแบบศักดินาของจีนและต่อต้านการปกครองประเทศแบบเผด็จการของชนชั้นเจ้านายที่ดิน นักปฏิรูปคิดที่จะสร้างฟื้นฟูความเจริญรุ่ง เรืองและมั่งคั่งให้กับประเทศจีนจากระดับบนสู่ระดับล่าง แต่ต้องประสบความล้มเหลวในที่สุด บุคคลที่มีอุดมคติกว้างไกลและมีวิสัยทัศน์และวีรบุรุษที่ยอมเสียชีวิตเพื่อประเทศชาติจำนวนนับไม่ถ้วน ได้ต่อสู้รุ่นแล้วรุ่นเล่า กระแสชาตินิยมของจีนได้พัฒนาไปสู่จุดสูงสุดในยุคใกล้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในปีค.ศ.1911 การปฏิวัติซินไฮ่ ดร.ซุนยัดเซ็นเป็นผู้นำได้โค่นล้มการปกครองของราชวงศ์ชิง และสิ้นสุดสังคมศักดินาจีนซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ประวัติศาสตร์จีนได้เข้าสู่ยุคใหม่








ราชวงศ์ฉิน



           ในปี221ก่อนค.ศ. หลังจากได้ผ่านสังคมระบอบทาสที่ดำเนินมานานกว่า2000ปีแล้ว ราชวงศ์ฉินซึ่งเป็นราชวงศ์ศักดินา มีระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐเป็นเอกภาพราชวงศ์แรกได้สถาปนาขึ้น มีความหมายสำคัญเป็นพิเศษต่อประวัติศาสตร์ของจีน



           ในช่วงระหว่างปี255-222ก่อนค.ศ. เป็นสมัยจั้นกั๋วของจีน และเป็นช่วงปลายของสังคมระบอบทาสของจีน ในสมัยนั้น จีนมีก๊กเล็กก๊กน้อยที่เป็นอิสระจำนวนมาก ก๊กเหล่านี้กลืนกิน ในที่สุด เหลือแต่ก๊กที่ค่อนข้างใหญ่ทั้งหมด7ก๊กซึ่งถูกเรียกกันว่า”ชีสง(เจ็ดผู้ยิ่งใหญ่)”ได้แก่ ฉิน ฉี ฉู่ เว่ย เอียน หานและเจ้า ในบรรดา7ก๊ก ก๊กฉินที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้ดำเนินการปฎิรูปทางการทหารและการเกษตรค่อนข้างเร็ว กำลังประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วใน ปี247ก่อค.ศ. หยิงเจิ้งผู้มีอายุเพียง13ปีได้รับช่วงตำแหน่งเจ้าก๊กฉิน เมื่อ พระองค์มีพระชนม์มายุครบ22ปีและเข้าบริหารประเทศแล้ว ก็เริ่มกลืนอีก6ก๊กและรวมจีนเป็นเอกภาพ เจ้าก๊กฉินอิ๋งเจิ้งระดมหาบุคลากรอย่างกว้างขวาง ขอเพียงแต่เป็นผู้ที่มีความสามารถก็จะมีโอกาสได้รับเป็นข้าราชการ ทั้งสิ้น อาทิ เคยแต่งตั้งให้เจิ้งกั๋วผู้เป็นจารชนของก๊กหานไปขุดลอก”คูคลองส่งน้ำเจิ้งกั๋ว” จนทำให้ที่ดินที่มีสารเกลือมากจำนวนกว่า40000เฮกตาร์ของก๊กฉินกลายเป็นที่นาที่อุดมสมบูรณ์เกิดเป็นปัจจัยทางวัตถุที่เพียงพอแก่การรวมจีนเป็นเอกภาพของก๊กฉิน ในช่วงเวลาไม่ถึง10ปีตั้งแต่ปี230-221ก่อนค.ศ. เจ้าก๊กฉินหยิงเจิ้งได้กลืนก๊กหาน เจ้า เว่ย เอียน ฉู่และฉีทั้งหมด6ก๊กตามลำดับและรวมจีนเป็นเอกภาพสำเร็จ จีนก็ สิ้นสุดสภาพการแบ่งแยก และมีราชวงศ์ฉินที่เป็นเอกภาพและใช้ระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐทางเผด็จการ เจ้าก๊กฉินก็กลายเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน เรียกว่า”สื่อหวงตี้”หรือจิ๋นซีฮ่องเต้หมายความว่าจักรพรรดิองค์แรก



           การที่ฉินรวมจีนเป็นเอกภาพได้นั้นนับเป็นคุณูปการและมีความหมายยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีน ในด้านการเมือง จิ๋นซีฮ่องเต้ได้ยกเลิกระบบแต่งตั้งเจ้าประเทศราชผู้ครองแคว้น กลับใช้ระบบจังหวัดและอำเภอ แบ่งทั่วประเทศเป็น36จังหวัด จังหวัดแบ่งเป็นอำเภอ ข้าราชการของรัฐบาลกลางและหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นล้วนแต่งตั้งและถอดถอนโดยองค์จักรพรรดิเอง ไม่มีการสืบต่อทางวงศ์ตระกูล ระบบจังหวัดและอำเภอที่ราชวงศ์ฉินเริ่มใช้ในสมัยนั้นได้กลายเป็นระบบปกครองของราชวงศ์ต่างๆในยุคหลัง ปัจจุบัน ชื่อของอำเภอจำนวนมากของจีนก็เริ่มกำหนดโดยราชวงศ์ฉินเมื่อกว่า2000ปีก่อน


           ส่วนผลงานสำคัญอีกเรื่องหนึ่งของฉินก็คือได้รวมตัวหนังสือของจีนให้เหลือเพียงแบบเดียว ก่อนราชวงศ์ฉิน ก๊กต่างๆต่างก็มีตัวหนังสือของตน แม้ตัวหนังสือเหล่านี้จะมีแหล่งที่มาเดียวกันและไม่แตกต่างในด้านการสะกดนักก็ตาม แต่ก็ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการแพร่ขยายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม หลังจากฉินรวมจีนเป็นเอกภาพแล้ว ได้กำหนดให้ตัวหนังสือ”เสี่ยวจ้วน”ของก๊กฉินเป็นตัวหนังสือที่ใช้ทั่วประเทศ หลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงตัวหนังสือจีนเริ่มมีระเบียบ ซึ่งมีความหมายชนิดที่ไม่อาจประเมินค่า ได้ต่อการก่อรูป ของประวัติศาสตร์จีนและการสืบทอดวัฒนธรรมจีน


           นอกจากนี้ จิ๋นซีฮ่องเต้ยังได้กำหนดมาตราชั่งตวงวัดของจีนให้เป็นเอกภาพ เช่นเดียวกับตัวหนังสือ ก่อนหน้านี้ มาตราชั่งตวงวัดของก๊กต่างๆมีความแตกต่างกัน เป็นอุปสรรคกีดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตราชั่งตวงวัด จิ๋นซีฮ่องเต้ยังได้กำหนดเงินตราและกฎหมายเพื่อสร้างเงื่อนไขแก่การเติบโตของเศรษฐกิจประชาชาติ ทั้งได้เสริมสร้างฐานะของรัฐบาลกลางอย่างมาก เพื่อเสริมสร้างการปกครองในด้านความคิด เมื่อปี213ก่อนค.ศ. จิ๋นซีฮ่องเต้ได้สั่งการให้เผาหนังสือประวัติศาสตร์ของก๊กต่างๆนอกจากประวัติศาสตร์ของก๊กฉินและทฤษฎีของลัทธิเต๋า และถึงกับประหารชีวิตผู้คนที่แอบเก็บและแพร่กระจายหนังสือเหล่านี้ พร้อมกันนี้ เพื่อป้องกันการรุกรานจากรัฐของชนชาติส่วนน้อยในภาคเหนือ จิ๋นซีฮ่องเต้ได้สั่งการให้บูรณะซ่อมแซมกำแพงที่ก๊กฉิก๊กเจ้าและก๊กเอียนในอดีตเป็นต้นก่อสร้างขึ้น เชื่อมต่อเป็นกำแพงเมืองจีนหมื่นลี้ตั้งแต่ทะเลทรายทางตะวันตกไปสู่ริมฝั่งทะเลทางตะวันออก ฉิ๋นซีฮ่องเต้ยังได้สั่งการก่อสร้างเป็นการใหญ่ เกณฑ์ชาวบ้านจำนวนกว่า7แสนคน และลงทุนจำนวนมหาศาลก่อสร้างสุสาน ตั้งอยู่ใต้ภูเขาหลีซัน เป็นสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้และหุ่นทหารกับม้าซึ่งเป็นมรตกทางวัฒนธรรมของโลกในปัจจุบัน








ราชวงศ์ฮั่น



           หลิวปัง ได้ตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้น แล้วยกเลิกกฎหมายของฉินซีฮ่องเต้ทั้งหมด โดยสัญญากับราษฎรไว้ว่า ใครฆ่าคนตายต้องถูกประหาร ใครลักขโมย หรือปล้นสดมภ์ต้องถูกลงโทษ ในต้นราชวงศ์ฮั่นนั้น บ้านเมืองยากจนมาก เนื่องจากเพิ่งผ่านสงครามมา หลิวปังจึงปล่อยให้ราษฎรทำมาหากิน โดยเก็บภาษีเพียง ๑/๓๐ ของที่เก็บเกี่ยวได้ เพื่อฟื้นฟูบ้านเมือง หลังหลิวปังครองราชย์ไม่นาน ด้วยความระแวง ก็ได้ถอดผู้ช่วยทั้ง ๓ ออกจากตำแหน่ง ตอนปลายยุคหลิวปัง หลี่ฮองเฮาได้กุมอำนาจ หลังจากหลิวปังสวรรคตหลี่ฮองเฮาก็ใช้อำนาจกำจัดคนที่ขัดกับนางเสีย ยังทำให้หลิวอิง หรือฮั่นฮุ่ยตี้ฮ่องเต้เสียสติไป ทำให้นางมีอำนาจโดยสมบูรณ์ เมื่อนางสวรรคต บรรดาเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ฮั่น ยกหลิวเหิงโอรสอีกองค์ของหลิวปังขึ้นครองราชย์เป็น ฮั่นเหวินตี้ ฮ่องเต้องค์นี้ปกครอง ห่วงใยราษฎรและสมถะ พระเจ้าฮั่นจิงตี้ ฮ่องเต้องค์ต่อมาก็เช่นกัน สมัยของสองพระองค์นี้ บ้านเมืองฟื้นฟูสมบูรณ์ ในสมัยพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ฮ่องเต้องค์ที่ ๕ ได้มีการบุกเบิก ทางสายไหม (Silk Route) ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ตะวันตกของจีน การค้าขายต่างๆ ได้นำพาประเทศเข้าสู่สงครามและความงมงายต่างๆ การท่องเที่ยวอย่างสิ้นเปลืองใช้เงินที่สะสมไว้เมื่อสองรัชสมัยก่อนจนหมดจนเกิดกบฏชาวนา จึงได้สำนึกและขอโทษประชาชน ต่อมาในยุคพระเจ้าฮั่นหยวนตี้ มีนางงามผู้กู้ชาติอีกคน คือ หวังเจาจวิน ถูกส่งไปอภิเษกกับกษัตริย์เผ่าซงหนู เพื่อกระชับไมตรี ทำให้เว้นว่างจากสงครามไปหลายสิบปี พุทธศาสนาก็เข้าสู่จีนในราชวงศ์ฮั่น พระเจ้าหมิงตี้ก็ได้ส่งคาราวานไปอัญเชิญพระคัมภีร์ต่างๆ มาประดิษฐาน และพระองค์ยังเป็นพุทธมามกะด้วย ราชวงศ์นี้มีความเจริญมากในสาขาต่างๆ มีการทำกระดาษ พิมพ์หนังสือได้แล้ว ในช่วงกลางราชวงศ์ความเสื่อมในราชสำนัก



           หวางหม่างได้ชิงราชบัลลังก์ตั้งราชวงศ์ซินขึ้นมา แต่ครองบัลลังก์ได้เพียงสิบกว่าปี หลิวซิ่ว เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ฮั่น ได้ทำสงครามยึดอำนาจคืน ตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้นมาใหม่ แล้วย้ายเมืองหลวงไปลั่วหยาง ได้นามว่าพระเจ้าฮั่นกวงอู่ตี้ สมัยนี้เรียกว่าราชวงศ์ฮั่นตะวันออก หรือ ตงฮั่น ในยุคนี้ได้มีการบุกเบิกลัทธิจริยธรรม มีการคัดเลือกผู้มีจริยธรรม ให้ทางส่วนกลางพิจารณาหาตำแหน่งให้ หลิวซิ่ว ในปลายราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้อ่อนแอมาก เนื่องจากมีการแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ ทำให้ฮ่องเต้หลายๆ องค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเล็ก มิหนำซ้ำขันทีมีอิทธิพลสูงมากในราชสำนัก เนื่องจากใกล้ชิดฮ่องเต้มาก เป็นเหตุให้เกิดระส่ำระสายในราชวงศ์ สมัยพระเจ้าฮั่นเลนเต้ มีโจรโพกผ้าเหลืองอาละวาด หลิวเป้ย หรือ เล่าปี่ เชื้อพระวงศ์, เตียวหุย และกวนอู สามพี่น้องร่วมสาบานได้ปราบปรามโจรจนราบคาบ หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าฮั่นเลนเต้สิ้นพระชนม์ ขันทีได้เหิมเกริมหนักขึ้น โฮจิ๋น พี่ชายของฮองเฮา ได้ให้ทหารเข้ามาฆ่าขันทีในวังแต่ไม่หมด จึงถูกขันทีซ้อนแผนปลอมราชโองการของฮองเฮา เรียกโฮจิ๋นเข้าวัง แล้วดักฆ่าเสีย โจโฉ ได้ยกทหารเข้าฆ่าขันทีจนสิ้นซาก แต่ว่าต่อมา ตั๋งโต๊ะ แม่ทัพอีกคนหนึ่ง ได้เข้ามาในวังแล้วบีบไม่ให้รัชทายาทได้ครองราชย์ ให้องค์ชายรองครองราชย์แทน พระนามว่าพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่น ส่วนตั๋งโต๊ะตั้งตัวเป็นพระมหาอุปราชกุมอำนาจในมือ ต่อมายังลอบสังหารรัชทายาท และพระมารดาอีกทำให้เกิดความไม่พอใจมาก ต่อมาลิโป้ ลูกบุญธรรมของตั๋งโต๊ะได้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย ในเรื่องสามก๊กว่า เป็นเพราะมารยาหญิงชื่อเตียวเสี้ยน ลูกน้องของตั๋งโต๊ะที่เหลืออยู่ได้คุกคามพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ ต่อมาโจโฉได้มาช่วยปราบ และสวมรอยเป็นพระมหาอุปราชเหมือนตั๋งโต๊ะ ทำให้เกิดความไม่พอใจมาก เกิดการแตกแยกก๊กต่างๆ มากมาย มีอยู่ ๓ ก๊ก คือแคว้นสู่ของหลิวเป้ย เว่ยของโจโฉ และอู๋ของซุนกวน ดังในพงศาวดารสามก๊ก แล้วก็รบพุ่งกันอยู่นาน หลังจากโจโฉตาย โจผีลูกโจโฉ ได้บังคับให้พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ให้สละบัลลังก์ หลังจากเป็นฮ่องเต้หุ่นอยู่ราว ๓๐ ปี ราชวงศ์ฮั่นก็ถูกถอนอำนาจไป แล้วตั้งเป็นราชวงศ์เว่ยขึ้นมา การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป จนสุดท้าย หลังจากนั้นอีกเกือบห้าสิบปี แคว้นสู่ล่มสลายลงเป็นแคว้นแรก หลังจากนั้น สุมาเอี๋ยนได้ชิงบัลลังก์จากราชวงศ์เว่ย ตั้งเป็นราชวงศ์จิ้น แล้วทำสงครามปราบแคว้นอู๋ได้สำเร็จ การสู้รบอันยาวนานก็สิ้นสุดลง ราชวงศ์จิ้นอยู่ได้ไม่นานนัก จากความอ่อนแอของกษัตริย์ ทำให้ประเทศจีนก็ถูกโจมตีจากภายนอก จนราชวงศ์จิ้นต้องย้ายเมืองหลวง เรียกว่า ราชวงศ์ตั้งจิ้น แผ่นดินจึงแตกแยกออกเป็นเหนือ-ใต้ ทางใต้มีราชวงศ์ต่างๆ ผลัดกันขึ้นมามากมาย คือ ราชวงศ์จิ้น, ซ่ง, ฉี, เหลียง, เฉิน ส่วนทางเหนือ เป็นแดนแห่งอนารยชน มีราชวงศ์ต่างๆ คือ เว่ยเหนือ, เว่ยตะวันออก, ฉีเหนือ, เว่ยตะวันตก, โจวเหนือหรือเป่ยโจว ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้นี้ มีบุคคลสำคัญผู้หนึ่ง คือ พระโพธิธรรม หรือตั๊กม้อ ผู้เป็นอาจารย์องค์แรก ของพุทธศาสนานิกายเซ็น ที่เน้นการถ่ายทอดสัจธรรมจากจิตสู่จิต ท่านเข้ามาในสมัยราชวงศ์เหลียงใต้ รัชกาลของพระเจ้าเหลียงบู้ตี้ ฮ่องเต้องค์นี้ศรัทธาในพุทธศาสนามาก แต่ถูกถามปริศนาธรรมจากท่าน ทำให้ไม่พอใจมาก ท่านเห็นว่าคงจะคุยกันยาก จึงหยุดเสวนาด้วย ในหนังสือประวัติฮ่องเต้องค์นี้ เขียนไว้ว่า ทรงสร้างความเจริญไว้มากมาย แต่ตอนท้ายได้ไปบำเพ็ญธรรมในป่าถ้ำ และชดใช้หนี้กรรมเก่า ที่เคยสร้างไว้ในชาติก่อนกับลิง ซึ่งได้มาเกิดเป็นแม่ทัพ ทำให้ต้องอดอาหารตายในถ้ำนั่นเอง แต่ก็ได้บรรลุธรรมในที่สุด ต่อมาท่านได้ไปนั่งเข้าฌาณที่ถ้ำแห่งหนึ่งทางเหนือนานหลายปี โดยไม่แตะต้องอาหารหรือน้ำเลย จนมีศิษย์ผู้หนึ่งที่ศรัทธาแรงกล้ามาก มานั่งเฝ้าท่านหน้าถ้ำ ท่านเห็นใจในความตั้งใจ จึงถ่ายทอดสัจธรรมให้มอบตำแหน่งของท่านด้วย ความแตกแยกของจีนกว่าสี่ร้อยปีนี้ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมจีนมาก เนื่องจากมีอารยธรรมของอนารยชนเข้ามาผสมด้วย ที่เห็นได้อย่างหนึ่งก็คือ การให้อิสระและสิทธิกับผู้หญิงมากขึ้น จากเดิมที่เคยกดขี่เห็นได้จากกรณีของบูเช็กเทียน ผู้ชายให้การยอมรับหญิงที่เคยมีสามีแล้วเมื่อสามีตายนำมาเป็นภรรยาได้ ในปลายราชวงศ์เป่ยโจวเหนือ หยางเจียน ซึ่งเป็นข้าราชการของราชวงศ์เป่ยโจว ได้อาศัยอิทธิพลของวงศ์ตระกูล ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จากบรรดาเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ ซึ่งได้พยายามลอบสังหารและใส่ความหลายครั้ง แต่สุดท้ายจากความช่วยเหลือของเหล่าขุนนาง ก็ได้ปฏิรูปการปกครองเสียใหม่ และในที่สุดก็บีบให้ฮ่องเต้ราชวงศ์เป่ยโจวสละราชสมบัติ แล้วตั้งราชวงศ์สุยขึ้น จากนั้น ก็สามารถทำสงครามกับราชวงศ์เฉินใต้ รวมแผ่นดินเหนือใต้ได้สำเร็จ ยุติความแตกแยกของจีนลง







ราชวงศ์ถัง



           ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้จีนอย่างมาก ทั้งด้านศิลปกรรม วัฒนธรรม และอีกหลายๆ ด้าน หลี่หยวนได้ตั้งตัวเองเป็น พระเจ้าถังเกาจู่ หลังจากรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นแล้ว ก็เกิดการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทขึ้น ระหว่างโอรสหลี่เจี้ยนเฉิง หลี่ซื่อหมิน และหลี่หยวนจี๋ หลี่ซื่อหมินนั้น มีความดีความชอบมาก เนื่องจากรบชนะมาหลายครั้ง ต่อมา ก็เกิดกรณีศึกสายเลือดขึ้นที่ประตูเสียนอู่ (เสียนอู่เหมิน) หลี่ซื่อหมินได้สังหาร หลี่เจี้ยนเฉิง รัชทายาท และหลี่หยวนจี๋ และทำให้พระเจ้าถังเกาจู่ตั้งตนเป็นรัชทายาท และต่อมาพระเจ้าถังเกาจู่ก็สละราชสมบัติ ตั้งตนเองเป็นไท่ซ่างอ๋อง (สมเด็จพระราชบิดา)



           หลี่ซื่อหมินขึ้นครองราชย์เป็น ถังไท่จงฮ่องเต้ ได้พยายามฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมา ยุคของพระองค์ จัดเป็นยุคทองของราชวงศ์ถังทีเดียว ทรงรู้จักใช้คน ฟังคน มีการขยายอาณาเขตไปอีกมาก ต่อมา มีอยู่ปีหนึ่ง มีภัยพิบัติ พระถังซำจั๋งจึงออกเดินทางไปอินเดีย เพื่อศึกษาและอัญเชิญคัมภีร์ต่างๆ มาที่จีน ต้องเผชิญกับความทุรกันดารของทะเลทราย และภูมิประเทศที่ยากลำบาก (แต่ไม่มีปีศาจนะครับ) จนไปถึงวัดนาลันทา และได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญ (สมัยนั้น วัดนาลันทายังไม่ถูกมุสลิมเข้ามาทำลาย) และศึกษาที่อื่นๆ จนแตกฉาน แล้วจึงเดินทางกลับจีน นำความรู้มาเผยแพร่ พอตอนปลายสมัยถังไท่จงฮ่องเต้ พระองค์ได้รับบูเหม่ยเหนียงมาเป็นสนม (ตำแหน่งไฉเหยิน) หลังจากนั้น ถังไท่จงก็สิ้นพระชนม์ เพราะเสวยยาอายุวัฒนะ



           ตอนปลายยุคเจินกวน (รัชสมัยของถังไท่จง) เกิดความขัดแย้งในบรรดาองค์ชาย ๓ องค์ ของถังไท่จง สุดท้าย ถังไท่จงได้เลือกหลี่จื้อ ซึ่งอ่อนโยนกว่าคนอื่น (เพื่อกันไม่ให้อีกสองคนถูกฆ่า) เป็นรัชทายาท หลังจากถังไท่จงสิ้นพระชนม์แล้ว หลี่จื้อได้ครองราชย์ นามว่า ถังเกาจงฮ่องเต้ แล้วไปสึกนางบูเหม่ยเหนียงมาเป็นสนมเอก จากนั้น บูเหม่ยเหนียงได้บีบคอลูกตนเอง แล้วป้ายความผิดให้มเหสีหวัง ของถังเกาจง ทำให้ถังเกาจงถอดนางลงเป็นไพร่ แล้วตั้งบูเหม่ยเหนียงเป็นมเหสีแทน นางได้ลอบวางยาพิษสนมเซียวซู่ และพระนางหวัง แล้วเปลี่ยนชื่อแซ่ของทั้งสอง ไปในความหมายที่ไม่ดี ถอดๆ ตั้งๆ รัชทายาทหลายครั้งหลายหน นางได้แทรกแซงการบริหารบ้านเมือง ของถังเกาจงมาตลอด พอถังเกาจงสิ้นพระชนม์ นางก็ได้เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นโจว ได้ชื่อว่าบูเช็กเทียน แล้วสังหารองค์ชายแซ่หลี่ ของราชวงศ์ถังกว่า ๕๐ องค์ และคนอื่นๆ อีกมากมายที่ขวางทางนาง ปกครองด้วยความเหี้ยมโหด ใครขวางทางนาง จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก แม้แต่ผู้ที่นางไว้ใจก็ตาม (หากเหลิง) ยกเว้นติเหยินเจี๋ย มหาอุปราชผู้จงรักภักดี กล้าคัดค้านโดยไม่เกรงอาญา (ติเหยินเจี๋ยผู้นี้ ว่ากันว่าตงฉิน และเก่งกาจไม่แพ้เปาบุ้นจิ้นทีเดียว แถมยังตัดสินคดีแบบถี่ยิบ แต่ไม่ดังเท่าเปาบุ้นจิ้น) อย่างไรก็ดี ความโหดเหี้ยมของนางก็ไม่ลามไปถึงนอกวัง นางปกครองบ้านเมืองได้ดี จึงทำให้คนโดยมากไม่เดือดร้อนนัก บูเช็กเทียนเป็นพุทธศาสนิกชนที่จัดว่าใช้ได้คนหนึ่ง (ถ้าไม่ดูพฤติกรรมที่เหี้ยมโหดของนาง) ชอบทำบุญเลี้ยงพระ สร้างวัดวาอาราม แต่งหนังสือทางพุทธศาสนา หลังจากราชวงศ์โจวดำเนินมาสิบปีเศษ บูเช็กเทียนก็ชรามากแล้ว นางคิดจะยกบัลลังก์ให้เชื้อพระวงศ์แซ่อู่ (บู) ของนาง แต่โดนติเหยินเจี๋ยคัดค้านสุดฤทธิ์ และบรรดาขุนนาง อำมาตย์ รวมทั้งองค์หญิงไท่ผิง ราชธิดา และเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ถังอื่นๆ ได้บีบให้นางลงจากบัลลังก์ในที่สุด ไม่นานหลังจากนั้น นางก็สิ้นพระชนม์ จากนั้น หลี่เสียนขึ้นครองราชย์ ราชวงศ์โจวก็เปลี่ยนกลับเป็นถังเหมือนเดิม ไม่นานหลังจากนั้น ในสมัยถังเสวียนจงฮ่องเต้ (หลี่หลงจี๋) ตอนแรก ก็ได้บัลลังก์มาจากการแย่งชิงกับองค์หญิงไท่ผิง ซึ่งองค์หญิงไท่ผิงนี้ ก็คิดจะเป็นฮ่องเต้หญิงต่อจากพระมารดา แม้ว่าจะเคยร่วมมือกับหลี่หลงจี๋ บีบให้บูเช็กเทียนลงจากบัลลังก์ แต่ต่อมากลับคิดจะเป็นฮ่องเต้เสียเอง และได้วางแผนจะลอบปลงพระชนม์ถังเสวียนจง แต่แผนแตกจึงโดนชิงลงมือจัดการเสียก่อน หลังจากศึกชิงบัลลังก์จบลง ช่วงแรก ฮ่องเต้องค์นี้ก็ปกครองบ้านเมืองได้ดี บ้านเมืองสงบสุข เจริญรุ่งเรืองกว่ายุคของถังไท่จงเสียอีก มีกวีชื่อดังในสมัยนี้คือ หลี่ไป๋ และตู้ฝู่ แต่ยามชรา เสวียนจงเกิดหลงระเริง เนื่องจากความรุ่งเรือง จึงละเลยราชกิจ แถมมเหสีและสนมได้ตายไปหมดแล้ว ก็เกิดอาการ "โคแก่หิวหญ้าอ่อน" ได้ไป "ยึด" หยางยิหวน พระสนมผู้เลอโฉม แถมยังมีทรวดทรงอวบอัด (แต่กลิ่นตัวแรงชะมัด -ตามคำบรรยายในหนังสือ) ของหลี่เม่า ราชโอรส มาเป็นสนมของตนเอง จากนั้น ก็หลงใหลแต่นางสนมหยางกุ้ยเฟยผู้นี้ จนไม่เป็นอันบริหารบ้านเมือง จนเกิดกลียุคไปทั้งแผ่นดิน เกิดกบฏอันลู่ซานขึ้น (อันลู่ซานผู้นี้ เดิมที หยางกุ้ยเฟยเคยรับเป็นบุตรบุญธรรม แต่เล่าลือกันว่า ทั้งสองเป็นชู้กัน ถังเสวียนจงก็ทรงทราบแต่ไม่ว่ากระไร เพราะสมัยนั้น ผู้ชายไม่ค่อยถือเรื่องนี้นัก แถมพระองค์เองก็เจ้าชู้ใช่ย่อย) หยางกว๋อจง พี่ชายของหยางกุ้ยเฟย ได้พาเสวียนจงและหยางกุ้ยเฟยหนีไป ทหารที่ไปด้วยก็ฆ่าหยางกว๋อจงเสีย แล้วบังคับให้เสวียนจงประหารหยางกุ้ยเฟย แถมประณามหยางกุ้ยเฟยว่าเป็นตัวกาลีด้วย ทำให้เสวียนจงฮ่องเต้ จำใจต้องประทานผ้าให้หยางกุ้ยเฟยผูกคอตาย เมื่ออายุได้ ๓๘ ปี หลังจากนั้น ราชวงศ์ถังก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ อันเนื่องจากฮ่องเต้อ่อนแอ และขันทีมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดกบฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมแม่ทัพก็พยายามไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจ จนสุดท้าย แม่ทัพชื่อจูเหวิน ก็ปลงพระชนม์ถังอ้ายจง ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ถัง เป็นอันสิ้นราชวงศ์ แล้วก็ตั้งราชวงศ์ของตนเองขึ้นมา หลังจากนั้น ก็มีราชวงศ์ต่างๆ ผลัดกันขึ้นมามีอำนาจเป็นเวลาสั้นๆ รวม ๕ ราชวงศ์คือ เหลียง (ของจูเหวิน), ถัง, จิ้น, ฮั่น, โห้วโจวหรือโจวยุคหลัง จนถึงราชวงศ์โห้วโจว พวกซี่ตานหรือคีตานได้ยกทัพมารุกราน (ชื่อที่ฝรั่งเรียกจีนว่า คาเธย์ ก็มาจากคีตานนี่เอง) จ้าวควางยิ่น แม่ทัพใหญ่จึงได้ยกทัพไปสู้ แต่แล้วบรรดาแม่ทัพนายกอง ก็ได้ร่วมกันเอาฉลองพระองค์ฮ่องเต้ มาคลุมตัวจ้าวควางยิ่น แล้วยกย่องให้เป็นฮ่องเต้ ซึ่งจ้าวควางยิ่นก็ออกคำสั่ง ไม่ให้ทำให้ฮ่องเต้เดิม ซึ่งยังมีพระชนมายุน้อย กับไทเฮาตกพระทัย ไม่ให้รังแกอำมาตย์ ไม่ให้ปล้นคลัง มิฉะนั้นจะไม่ยอมรับ พวกแม่ทัพนายกองก็ยอมทำตาม จ้าวควางยิ่นจึงกลับไปชิงบัลลังก์มาได้ แล้วตั้งตำแหน่งให้ฮ่องเต้เดิมกับไทเฮา แล้วให้ไปอยู่ที่วังตะวันตก ตั้งราชวงศ์ซ้องขึ้นมา







ราชวงศ์หมิง



           เมื่อปีค.ศ.1368 จู หยวนจาง หรือจักรพรรดิหมิงไท่จู่ ปฐมกษัตริย์องค์ของราชวงศ์ครองราชย์ที่เมืองนานกิง และได้สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น 31ปีแห่งการครองอำนาจ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ได้เสริมสร้างระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐเผด็จการแบบศักดินาให้เข้มแข็งขึ้นอย่างสุดความสามารถ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ประหารขุนนางผู้มีคุณูปการ ฆ่าผู้คนที่มีความเห็นที่ไม่เหมือนพระองค์ เพิ่มอำนาจของจักรพรรดิให้มากขึ้น ปราบปรามอิทธิพลที่ต่อต่ายพระองค์ หลังจากจักรพรรดิหมิงไท่จู่สวรรคตแล้ว จักรพรรดิเจี้ยนเหวินซึ่งเป็นพระราชนัดดาองค์หนึ่งได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาไม่นาน จูตี้ ผู้เป็นปิตุลาของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินซึ่งเป็นได้ลุกขึ้นต่อสู้และโค่นอำนาจรัฐของจักรพรรดิเจี้ยนเหวินลง จูตี้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหมิง เฉิงจู่หรือจักรพรรดิหยุงเล่อ ในปีค.ศ.1421 จักรพรรดิหย่งเล่อได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองหนานจิงไปยังกรุงปักกิ่ง แม้รัฐบาลของราชวงศ์หมิงจะเสริมระบอบรวมศูนย์อำนาจรัฐให้มากขึ้นก็ตาม แต่มีจักรพรรดิหลายองค์ไม่ทรงพระปรีชาหรือไม่กทรงพระเยาว์ ไม่สนพระทัยการบริหารประเทศ อำนาจจึงตกอยู่ในมือของเสนาบดีและขันที พวกเขาทุจริตคดโกงและขู่เข็ญรีดเอาเงิน ทำร้ายขุนนางที่ซื่อสัตย์ กิจการบริหารบ้านเมืองเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ความขัดแย้งในสังคมรุนแรง ช่วงกลางสมัยราชวงศ์หมิงจึงเกิดการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวนาหลายครั้งหลายหนแต่ถูกปราบปรามลงได้


 

          ในสมัยราชวงศ์หมิง เคยมีนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชื่อจางจวีเจิ้ง สามารถคลี่คลายความขัดแย้งกันทางสังคมและกอบกู้การปกครองของราชวงศ์หมิงด้วยวิธีดำเนินการปฎิรูป เขาปรับปรุงระบบขุนนาง พัฒนาการเกษตร ซ่อมแซมแม่น้ำและคูคลอง และได้รวมภาษีอากรและการกะเกณฑ์บังคับต่างๆเป็นหนึ่งเดียวได้ช่วยลดภาระของประชาชนลงไปได้บ้างระดับหนึ่ง


           ในสมัยราชวงศ์หมิง การเกษตรพัฒนามากขึ้นกว่ายุคก่อน การทอผ้าไหมและการผลิตเครื่องเคลือบดินเผามีความก้าวหน้ารุ่งเรือง การทำเหมืองเหล็ก การหล่อเครื่องทองเหลือง การผลิตกระดาษ การต่อเรือเป็นต้นก็มีการพัฒนาอย่างมาก การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง เจิ้งเหอซึ่งชาวไทยเรียกกันว่าซำเปากงได้นำกองเรือจีนไปเยือนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาทั้งหมดกว่า30ประเทศถึง7ครั้งตามลำดับ แต่หลังช่วงกลางราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา จีนถูกการรุกรานจากหลายประเทศรวมทั้งญี่ปุ่น สเปน โปรตุเกสและเนเธอร์แลนด์เป็นต้น


           ในสมัยราชวงศ์หมิง เศรษฐกิจการค้าก็ได้พัฒนาเริ่มปรากฏเป็นเค้าโครงของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ในช่วงต้นราชวงศ์หมิง จีนมีที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีเจ้าของจำนวนมากมาย จักรพรรดิหมิงไท่จู่ได้รวบรวมคนพเนจร ลดและงดภาษีอากรให้พวกเขา ทำให้จำนวนชาวนามีที่นาทำเองเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทางเกษตรเช่นใบยาสูบ มันเทศ ข้าวโพดและถั่วลิสงเป็นต้นก็ได้มีการนำเข้ามาในจีน ในสมัยราชวงศ์หมิงงานหัตถกรรมประเภทต่างๆเช่น เครื่องเคลือบดินเผาและสิ่งทอเป็นต้นได้พัฒนาถึงระดับค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกิจการทอผ้าไหม มีเจ้าของโรงงานผลิตสิ่งทอที่มีเครื่องปั่นด้ายจำนวนหลายสิบเครื่อง และ”ช่างปั่นทอ”มีฝีมือที่รับจัดตามสั่งโดยเฉพาะขึ้นแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในสมัยราชวงศ์หมิงมีสินค้าหลากหลายชนิด การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าเป็นไปอย่างคึกคัก ในสถานที่ที่มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์และการคมนาคมสะดวกได้ก่อรูปขึ้นเป็นศูนย์การค้าทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เกิดเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองเช่นปักกิ่ง นานกิง ซูโจว หังโจว กว่างโจวเป็นต้น


ในสมัยราชวงศ์หมิง ระบอบสอบจอหงวนนิยมสอบการเขียนบทความแบบแปดตอน วรรณกรรมเรื่องยาวในสมัยราชวงศ์หมิงมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงต่างๆเช่น”ซ้องกั๋ง” “สามก๊ก” “ไซอิ๊ว” “จินผิงเหมย”หรือเรื่อง”บุปผาในกุณฑีทอง”เป็นต้น นอกจากนี้ ข้อเขียนและบทประพันธ์ที่มีลักษณะคลาสสิคต่างๆเช่นสารคดี”บันทึกการท่องเที่ยวของสวี เสียเค่อ”ในด้านภูมิศาสตร์ “ตำราสมุนไพร”ของหลี่ สือเจินในด้านแพทยศาสตร์ “ชมรมหนังสือวิทยาศาสตร์ด้านการเกษตร”ของสวี กวางฉี นักเกษตรศาสตร์ “ “เทียนกุงไคอู้”หรือ”สารานุกรมเทคโนโลยีด้านการเกษตรและหัตถกรรม”ของนายซ่งอิ้งซิง นักวิชาการด้านหัตถกรรม “สารานุกรมหย่งเล่อ”ซึ่งเป็นชุมนุมรวมเอกสารและวิทยานิพนธ์เป็นต้นก็ล้วนประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น


          ช่วงปลายราชวงศ์หมิง สภาพการผูกขาดที่ดินรุนแรงมาก พระราชวง ศ์และบรรดาเจ้านายที่ได้รับการแต่งตั้งมีที่ดินกระจายอยู่ทั่วประเทศ ภาษีอากรของรัฐบาลก็นับวันมากขึ้น ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นต่างๆของสังคมก็นับวันรุนแรงขึ้น มีเสนาบดีและขุนนางบางคนพยายามจะคลี่คลายความขัดแย้งในสังคมให้เบาบางลง และเรียกร้องให้ยับยั้งสิทธิ พิเศษของเสนาบดีขันทีและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย เสนาบดีเหล่านี้เทียวบรรยายวิชาการและวิพากษ์วิจารณ์การเมืองจึงถูกเรียกกันว่าเป็น”พรรคตงหลินตั่ง” แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถูกเสนาบดีขันทีและขุนนางที่มีอำนาจโจมตีและทำร้าย ซึ่งยิ่งทำให้สังคมวุ่นวายมากยิ่งขึ้น

 

          การต่อสู้ในชนบทก็ทวีความรุนแรงขึ้น ในปีค.ศ.1627 มณฑลส่านซีเกิดทุพภิกขภัย แต่ข้าราชการยังคงบีบบังคับให้ประชาชนจ่ายภาษี จนทำให้เกิดการลุกขึ้นต่อสู้ ประชาชนที่ประสบภัยเป็นพันเป็นหมื่นรวมตัวขึ้นเป็นกองทหารชาวนาหลายกลุ่มหลายสาย ปีค.ศ.1644 กองทหารชาวนาบุกเข้าไปถึงกรุงปักกิ่ง จักรพรรดิฉงเจินซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงต้องผูกพระศอสิ้นพระชนม์







ราชวงศ์สุย



           ราชวงศ์สุยปกครองประเทศเพียง37ปีนับตั้งแต่ค.ศ.581จักรพรรดิสุยเหวินตี้ทรงพระนามหยางเจียนสถาปนาราชวงศ์สุยขึ้นจนถึงค.ศ.618จักรพรรดิสุยหยางตี้ทรงพระนามหยางกว่างถูกปลงพระชนม์ด้วยการแขวนศอ นับเป็นราชวงศ์ที่มีอายุสั้นมาก จักรพรรดิสุยเหวินตี้ได้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่หลายด้าน เช่น ยกเลิกระบบ6เสนาบดีของราชวงศ์โจวเหนือลง และจัดตั้งระบบ3กระทรวง6ฝ่ายขึ้น จักรพรรดิสุยหยางตี้ยังได้ตรากฎหมายใหม่โดยลดความ ทารุณในการลงโทษลงเมื่อเทียบกับยุคสมัยช่วงรัฐภาคเหนือกับรัฐภาคใต้ นอกจากนั้น จักรพรรดิสุยหยางตี้ยังได้จัดตั้งระบบสอบจอหงวนซึ่งเป็นวิธีการคัดเลือกข้าราชการแบบใหม่ แต่จักรพรรดิสุยหยางตี้ก็ไม่มีผลงานมากนัก นอกจากการขุดลอกแม่น้ำลำคลองหลวง ( เพื่อทรงเรือประพาสทางชลมารค ) จักรพรรดิสุยหยางตี้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของจีนในด้านความโหดร้ายทารุณ เพราะโปรดให้เก็บภาษีอย่างรีดนาทาเร้นจนประชาชนเคียดแค้น มาก ในที่สุดจักรพรรดิสุยหยางตี้ก็ถูกแขวนพระศดสิ้นพระชนม์ ที่เมืองเจียงตู ราชวงศ์สุยก็เลยสิ้นสุดลง



           ราชวงศ์ถังปกครองประเทศนานถึง289ปีตั้งแต่ค.ศ.618เมื่อราชวงศ์ถังสถาปนาขึ้นจนถึงค.ศ.907ราชวงศ์ถังถูกจูเวินโค่นลง ราชวงศ์ถัง แบ่งได้เป็นสองช่วงจากการก่อกบฎของอันลู่ซันและสื่อซือหมิง ช่วงแรกเป็นช่วงที่เจริงรุ่งเรือง ช่วงหลังเป็นช่วงที่เสื่อมโทรมลง จักรพรรดิถัง เกาจู่สถาปนาราชวงศ์ถัง หลี่ สื่อหมิน โอรสของจักรพรรดิ์ถังเกาจู่ได้นำกองทัพรวบรวมจีนเป็นเอกภาพใช้เวลานานถึง10ปี หลังจากเหตการณ์ประตูเซวียนอู่เหมิน หลี่ สื่อหมินขึ้นครองราชย์จนเป็นจักรพรรดิถังไท่จง ถังไท่จงบริหารประเทศอย่างแข็งขันจนทำให้ราชวงศ์ถังเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน อยู่ในฐานะนำหน้าทั่วโลกในสมัยนั้นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและด้านอื่นๆ ซึ่งเรียกว่า”ช่วงเจริญรุ่งเรืองรัชสมัยเจินกวน” หลังจากนั้น ในสมัยจักรพรรดิ์ถังเสวียนจงก็เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง เรียกว่า”ช่วงเจริญรุ่งเรืองรัชสมัยไคหยวน” ประเทศเข้มแข็งเกรียงไกร ประชาชนมีความมั่งคั่ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในช่วงปลายรัชกาลถังเสวียนจงได้เกิดกบฎอันลู่ซันและสื่อซือหมิง จากนี้เป็นต้นมา ราชวงศ์ถังก็เริ่มเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ


           ในสมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง ระบบการเมืองมีการพัฒนาไปไม่น้อยและมีส่งอิทธิพลต่อยุคหลังมาก เช่นระบบ3กระทรวง6ฝ่าย ระบบสอบจอหงวนและระบบภาษีเป็นต้น ในด้านการต่างประเทศ ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังได้ใช้มาตรการที่ค่อนข้างเปิดประเทศ การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างประเทศมีบ่อยครั้ง ในด้านวรรณคดี บทกวีของราชวงศ์ถังมีผลงานอันยิ่งใหญ่ แต่ละช่วงล้วนมีกวียอดเยี่ยมเกิดขึ้น เช่นช่วงต้นของราชวงศ์ถังมีเฉินจื่ออ๋าง ช่วงเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ถังมีหลี่ไป๋และดู้ฝู่ ช่วงกลางของราชวงศ์ถังมีไป๋ จวีอี้และหยวนเจิ่น ช่วงปลายของราชวงศ์ถังมีหลี่ ซังอิ่นและตู้มู่ ขบวนการส่งเสริมบทความสมัยโบราณที่หานอวี๋ และหลิ่ว จงหยวนริเริ่มมีอิทธิพลต่อคนยุคหลังมาก ลายมือเขียนพู่กันของเอี๋ยนเจินชิง ภาพวาดของหยานลี่เปิ่น อู่เต้าจื่อ หลี่ซือซุ่นและหวางเหวย ชุดระบำที่ชื่อ”หนีซังอวี่อีอู่” และศิลปะในถ้ำหินต่างๆได้แพร่หลายจนถึงยุคปัจจุบัน ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิธีการพิมพ์และดินปืนซึ่งเป็นสองอย่างในสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่สี่อย่างของจีนก็เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง



           ราชวงศ์ถังช่วงหลังมีความวุ่นวายในด้านการเมือง เกิดการปะทะกันระหว่างพรรคหนิวและพรรคหลี่กับการกุมอำนาจของขุนนางขันที การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวนาเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ในที่สุด การลุกขึ้นสู้ที่มีผู้นำได้แก่หวงเฉา จู เวินที่เคยเป็นบริวารของหวงเฉา แต่กลับไปยอมจำนนต่อรัฐบาลราชวงศ์ถัง หลังจากนั้น ก็ฉวยโอกาสโค่นราชวงศ์ถังลง ประกาศตนเป็นจักรพรรดิโดยสถาปนาราชวงศ์เหลียงยุคหลังซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของสมัยอู่ไต้หรือสมัย5ราชวงศ์










ราชวงศ์หยวน


           กุบไลข่านโค่นราชวงศ์ซ่งลง แล้วเปิดศักราชชาวมองโกลครองประเทศจีน ตั้งกรุงปักกิ่งเป็นเมืองหลวง (สมัยนั้นชื่อว่า เมืองต้าตู) ทรงตั้งความหวังจะเป็นกษัตริย์ที่ดี ปกครองอย่างสุขุมรอบคอบ เอาใจใส่ประชาชน จึงสามารถชนะใจชาวจีนได้ และเป็นฮ่องเต้มองโกลพระองค์เดียว ที่ชาวจีนยอมรับ (เดิมทีนั้น พวกมองโกลขึ้นชื่อลือชามากในเรื่องความโหดร้าย ทั้งนี้เพราะวิถีชีวิตเดิม ที่อยู่ในทุ่งหญ้า ทะเลทราย แถมยังเร่ร่อนไปเรื่อยๆ) นอกจากนี้ กุบไลข่านยังพยายามขยายดินแดนไปกว้างไกลมาก ถึงกับยกทัพเรือจะไปตีญี่ปุ่น แต่เรือถูกมรสุมเสียก่อนจึงไม่สำเร็จ



           กุบไลข่านสนพระทัยทางอักษรศาสตร์และวรรณกรรมมาก จึงส่งเสริมบทประพันธ์ต่างๆ ปรากฏว่า บทงิ้วในสมัยกุบไลข่านดีมาก จนไม่มีบทงิ้วสมัยใดเทียบได้ การติดต่อกับต่างประเทศ ก็เป็นไปด้วยดี มาร์โคโปโลและ สมณทูตจากวาติกัน ก็ได้มาเยือนแดนจีนในยุคของกุบไลข่านนี่เอง



           พอสิ้นยุคกุบไลข่าน ก็ไม่มีฮ่องเต้มองโกลองค์ใดเด่นเหมือนพระองค์ จึงมีการพยายามโค่นล้มราชวงศ์หยวนอยู่ตลอดเวลา ฮ่องเต้องค์ต่อๆ มาของราชวงศ์หยวน ส่วนใหญ่ครองราชย์ไม่นานนัก และได้ขึ้นครองราชย์ ด้วยการแย่งชิงอำนาจกัน เนื่องจากมองโกลไม่มีกฎแน่นอน เกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์ จวบจนฮ่องเต้องค์สุดท้าย หยวนซุ่นตี้ ซึ่งครองราชย์นานกว่าองค์ก่อนๆ ในยุคนี้ มีความวุ่นวายมาก เกิดภัยพิบัติขึ้นหลายที่ เชื้อพระวงศ์กับขุนนาง ก็ร่วมกันข่มเหงชาวบ้าน จึงมีกบฏเกิดขึ้นทั่วไป



           ครั้งนั้น มีชายผู้หนึ่งชื่อ จูหยวนจาง ตอนอายุได้ ๑๗ ปี ครอบครัว ก็ตายหมดจากโรคระบาด จึงไปบวชที่วัดหวงเจี๋ย ต่อมา เร่ร่อนไปอีก ๓ ปี เนื่องจากเสบียงอาหารหมด จึงกลับมาที่วัดดังเดิม ครั้นชาวบ้านก่อกบฏขึ้น เขาก็เดินทางไปสมทบกับพวกกบฏ เริ่มนำทัพออกตีก๊กต่างๆ ในแผ่นดิน แล้วในที่สุดก็ได้ส่งแม่ทัพชื่อ สีต๋า ไปตีเมืองปักกิ่งได้สำเร็จ เป็นการโค่นล้มราชวงศ์หยวนลงได้ จากนั้น เขาก็ได้ตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น ใช้เมืองนานกิงเป็นเมืองหลวง







0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น